79 ปีหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระมหากษัตริย์พระองค์แรกภายใต้รัฐธรรมนูญ บีบีซีไทยชวนทบทวนประวัติศาสตร์ยุค "นำเข้า" ประชาธิปไตยจากต่างแดน
มรดกทางการเมืองการปกครองในรัชสมัยของ ร. 7 ที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันตามทัศนะของ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ด้านราชสำนัก คือระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
"จินตนาการประชาธิปไตย" ของ ร. 7 ตามที่นักกฎหมายวัยเกษียณ รับทราบผ่านการศึกษาพระราชประวัติและเอกสารทางประวัติศาสตร์ เข้าใจว่าที่มาที่ไปจากประสบการณ์ในชีวิตของพระองค์เองที่ได้ทรงพระอักษร (เรียนหนังสือ) และใช้ชีวิตในอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นเวลานาน
"ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทรงเห็นเท่านั้น แต่ได้ทรงแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกับเพื่อน ครูบาอาจารย์ ผู้ที่อยู่ในแวดวงของท่าน" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าวกับบีบีซีไทย
นอกจากนี้ถ้าศึกษาหนังสือส่วนพระองค์ซึ่งบางส่วนเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า ที่ ศ.พิเศษ ธงทอง เป็นประธาน จะพบว่า "ทรงศึกษาและอ่านหนังสือในเรื่องความคิดทางการเมืองการปกครองทุกระบอบ ทุกระบบ ทุกลัทธิ" ไม่เว้นกระทั่งหนังสือเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ ฟาสซิสต์ ระบอบสังคมนิยม
วิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลก ทำให้เกิด "กษัตริย์นอกราชบัลลังก์"
ย้อนกลับไปในปี 2468 เมื่อพระราชโอรสพระองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นห้วงเวลาที่ ศ.พิเศษ ธงทองบรรยายว่า "คลื่นลมของการเปลี่ยนแปลงปรากฏชัดเจนในสังคมโลกและเห็นร่องรอยในเมืองไทย"
สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งยุติลงในปี 2461 (ค.ศ. 1918) ได้นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และส่งกระทบต่อระบบการเมืองการปกครองและระบบใช้จ่ายของผู้คนทั้งโลก ในช่วงนั้นเองเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับระบอบกษัตริย์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม
"พระเจ้าแผ่นดินที่เคยเป็นยุคสมัยเฟื่องฟูของราชาธิปไตย ในเวลาที่เทียบกับยุคสมัยบ้านเราคือ ร. 4 ร. 5 พระนางเจ้าวิกตอเรีย พระเจ้าแผ่นดินฟรานซ์ โจเซฟ สารพัดพระเจ้าของเมืองฝรั่ง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 1 ชั่วอายุคน เราจะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจำนวนมาก ในยุโรปตะวันออกนั้น พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์กลายเป็น 'พระมหากษัตริย์นอกราชบัลลังก์' ไป" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าว
เมื่อกลับมามองสยามประเทศ ศ.พิเศษ ธงทองเห็นตัวแปร-ตัวเร่ง หลายประการจากการ "เป็นพระเจ้าแผ่นดินในเวลาทุกข์ยากของบ้านเมืองและของโลก แต่ไม่ได้ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิขาดอย่างชื่อของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์"
บริบทสยามก่อนปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475
ความไม่มีเสถียรภาพของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ |
---|
การตราพระราชบัญญัติเทศบาล ไม่สำเร็จผล ทั้งที่มีพระราชดำริว่าการพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งทรงคาดการณ์ว่าวันหนึ่งต้องมาถึงเมืองไทย ต้องปูพื้นด้วยการให้ราษฎรมีความคุ้นเคยกับการปกครองท้องถิ่นเสียก่อน |
ในขณะที่ขึ้นเสวยราชสมบัติด้วยพระชนมพรรษา 32 พรรษา มีเจ้าพี่และพระบรมวงศ์หลายพระองค์อยู่ในตำแหน่งสำคัญ "การจะมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก" |
ในจำนวนเจ้านายมากพระองค์ "มีหลายพระองค์มีความสามารถโดดเด่น แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่ามีเจ้านายบางพระองค์เป็นปัญหา" |
เสรีภาพของสื่อมวลชนเบ่งบาน |
---|
สื่อมวลชนมีความชัดเจนในการแสดงความคิดเห็น โดยที่ ร. 7 มีพระทัยกว้างในการรับฟังความคิดเห็นเหล่านั้น แต่ขณะเดียวกันสื่อก็ปลูกเพาะความคิดใหม่ ๆ ทำให้มีการมองปัญหาเมืองไทยที่ไม่เคยพูดกันมาก่อน |
การศึกษาขยายวงกว้างขวาง |
---|
รัฐบาลส่งคนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่เฉพาะลูกท่านหลานเธอ แต่ยังมีสกุลขุนนาง เช่น หลวงโกวิทอภัยวงศ์ หรือนายควง อภัยวงศ์ พล.ท.ประยูร ภมรมนตรี รวมถึงลูกคนทั่วไปที่มีผลการเรียนระดับดีเยี่ยม อย่างหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนงยงค์ และ แปลก ขีตตะสังคะ หรือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งหมดคือแกนนำคณะราษฎร แม้รากเหง้าและประสบการณ์แตกต่างกัน แต่พวกเขามีจุดร่วมคือ "การได้ไปเปิดหูเปิดตาในต่างประเทศ มีการคบหาสมาคมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน" |
ที่มา : สรุปจากคำให้สัมภาษณ์ของ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ กับบีบีซีไทย
"สิ่งเหล่านี้ประมวลกันเข้ามา ผมคิดว่าเป็นสัญญาณที่ส่งชัดเจนให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบอกกับพระองค์เองว่าวันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงใกล้จะมาถึง และความเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบดั้งเดิมอย่างครั้งสมัยสมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งมีความเป็นผู้นำโดดเด่น เป็นผู้นำในระยะเวลาที่ยาวนาน ความเป็นเอกภาพทางความคิดเห็นทั้งหลายกำลังลดน้อยถอยลงทุกที ต้องทรงเตรียมการ" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าว
ลำดับ "ร่องรอย" การเตรียมการพระราชทานประชาธิปไตยในไทย
กระแสเรียกร้อง "ปาลิเมนต์" (Parliament - รัฐสภา) เริ่มปรากฏในประวัติศาสตร์สยามสมัยใหม่ เมื่อคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทั้ง 3 พระองค์นับจากในหลวง ร. 5 ได้กราบบังคมทูลให้จัดการปกครองด้วยรูปแบบ "คอนสติวชั่นโมนากี" (Constitutional Monarchy - กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ) ตามแบบอย่างชาติตะวันตก แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยพระราชปรารภว่าด้วย "ความไม่พร้อม" ของราษฎรไทย
ศ.พิเศษ ธงทอง ชี้ว่า ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปรึกษาข้อราชการกับที่ปรึกษาชาวต่างประเทศและขุนนางฝ่ายก้าวหน้า ส่วนใหญ่เห็นว่า "การกระโดดขั้นเดียวไปเป็นระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบนั้น ดูจะเป็นสิ่งซึ่งรวดเร็วและเกินไป" ควรดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป
ข้อเสนอจากที่ปรึกษาชาวต่างประเทศขององค์ประมุขประเทศ ที่นักประวัติศาสตร์รายนี้สรุปได้แบบย่นย่อคือให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ แต่นายกรัฐมนตรียังมาจากผู้ที่ทรงแต่งตั้ง ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับสภา แต่เป็น "โซ่ข้อกลาง" หรือ "กันชน" ระหว่างสภากับพระมหากษัตริย์ อย่างน้อยก็บรรเทาความกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความเห็นที่แตกต่างกัน
ส่วนในคราวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2474 ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนอเมริกันว่าทรงเตรียมการที่จะพระราชทานการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยในเมืองไทย ซึ่ง ศ.พิเศษ ธงทองชี้ว่า "นี่คือร่องรอยหรือหลักฐานว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ทรงคิดเรื่องนี้อยู่ในพระราชหฤทัย"
อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงไม่เคยบอกว่าจะมาเมื่อไร วันที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากในยุคนั้นว่าจะเกิด "เหตุการณ์สำคัญ" ขึ้นคือวันฉลองพระนครครบ 150 ปี 6 เม.ย. 2475 แต่สุดท้ายก็ไม่มีเหตุใด ๆ ก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงใหญ่แบบ "พลิกแผ่นดิน" จะมาถึงจริงในอีก 2 เดือนต่อมา
"จะทรงยอมตามนั้น หรือทรงสู้เพื่อฝืนให้มีระบอบดั้งเดิมอยู่ต่อไป"
"การตัดสินพระราชหฤทัยเมื่อ 24 มิ.ย. 2475 เมื่อได้ทรงรับหนังสือจากคณะราษฎรแล้ว ผมว่านั่นคือวินาทีหรือช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้าคิดอย่างธรรมดาคือจะทรงยอมตามนั้น หรือทรงสู้เพื่อฝืนให้มีระบอบดั้งเดิมอยู่ต่อไป การตัดพระราชหฤทัยวันนั้นเป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่าทรงเลือกที่จะดำเนินการที่จะใช้วิถีทางแห่งความสันติวิธี ไม่มีการสู้รบในหมู่คนไทย แล้วเดินหน้าสู่วิถีการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างที่เราทุกท่านได้ทราบดีอยู่แล้ว" ศ.พิเศษ ธงทอง กล่าว
ตลอดเวลา 9 ปีเศษภายใต้รัชสมัยของในหลวง ร. 7 มีเหตุการณ์สำคัญที่ต้องตัดสินพระทัยทางการเมืองอย่างน้อย 3 ครั้ง ซึ่ง ศ.พิเศษธงทองเห็นว่าทุกเหตุการณ์วางอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า "ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยประชาชนมีส่วนมีเสียงอย่างแท้จริงเป็นประโยชน์สำหรับบ้านเมืองระยะยาว และการดำรงอยู่ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อาจหมดเวลาแล้ว"
- วันปฏิวัติสยาม 24 มิ.ย. 2475
- วันพระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 27 มิ.ย. 2475
- วันสละราชสมบัติ 2 มี.ค. 2489
ศ.พิเศษ ธงทองชี้ว่า นอกจากหลักการของระบอบใหม่ที่ทรงวางให้เห็น ในหลวง ร. 7 ยังทรงแสดงให้เห็นว่าบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร เช่น การเติมคำว่า "ชั่วคราว" ในธรรมนูญการปกครองฉบับแรกของไทย เป็นเพราะร่างที่คณะราษฎรนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย "สั้นจนมองไม่เห็นอะไร ต้องการให้ทำฉบับใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็ผลิดอกออกผลเป็นรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธ.ค. 2475 ซึ่งก็ไม่ได้ทรงเห็นด้วยทุกอย่างนะ แต่ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทาน"
พระราชหัตถเลขาสละราชย์ กับภาพจำ "กษัตริย์นักประชาธิปไตย"
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์รายนี้พบความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างระหว่าง ร. 7 กับคณะราษฎรอยู่เนือง ๆ หรือแม้แต่ในสมาชิกคณะราษฎรเองก็ไม่เป็นเอกภาพ ทว่าหนึ่งในกระแสหลักทางความคิดของผู้ก่อการปฏิวัติสยามคือ "ความไม่วางใจว่าวันข้างหน้าเสถียรภาพของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นแล้วจะยั่งยืนเพียงใดแค่ไหน" โดยเฉพาะเมื่อเกิดกบฏบวรเดชในปี 2476
"เมื่อทุกอย่างเดินหน้าต่อไปไม่ได้ดั่งพระราชหฤทัย พ้นความสามารถของท่านแล้วที่ท่านจะทำอะไรได้ การที่ท่านหลีกทางให้ระบอบยังเดินได้ การที่ท่านตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ ผมคิดว่านี่ก็อาจเรียกว่าเป็นอีกวีรกรรมหนึ่งของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ก็ได้ เพราะท่านทรงรับสั่งอยู่เสมอในหลายที่หลายหลักฐานว่าการที่พระมหากษัตริย์กับรัฐบาลทะเลาะกันนั้นไม่เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองเลย" ศ.พิเศษ ธงทอง ระบุ
"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"
ข้อความบางส่วนในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติที่ทรงร่างและลงพระปรมาภิไธยขณะลี้ภัยไปประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งถูกอัญเชิญมาพูด-พิมพ์-ผลิตซ้ำในหลายโอกาส ได้กลายเป็นข้อความอันทรงพลังทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อปัญญาชนฝ่ายอนุรักษนิยมนำมาตีความใหม่ และยังมีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูพระเกียรติ และก่อให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่-ภาพจำใหม่ในฐานะ "กษัตริย์นักประชาธิปไตย"
อย่างไรก็ตาม ศ.พิเศษ ธงทอง ให้ความเห็นว่ายังมีอีกหลายเรื่องราวที่อยู่ในพระราชหัตถเลขาฉบับนั้น "ลองกลับไปศึกษาดู เราจะพบการเปิดใจของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ในนาทีสุดท้ายที่ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย"
มองความสัมพันธ์ระหว่าง ร. 7 กับคณะราษฎร
เมื่อให้มองความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์พระองค์แรกภายใต้รัฐธรรมนูญกับคณะราษฎร ผู้เชี่ยวชาญด้านราชสำนักวัย 64 ปีระบุว่า ช่วงอายุของสมาชิกคณะราษฎรกับพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่แตกต่างกันเท่าไร จึงคิดว่าเป็นอารมณ์ที่ผสมผสานหลายอย่าง
"ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ที่สืบพระวงศ์มา 150 ปีแล้ว ความเปลี่ยนแปลงมาเกิดในช่วงเวลาของชีวิตท่าน ท่านคงรู้สึกเหมือนท่านบกพร่อง หรือท่านทำไม่ได้เต็มที่อย่างที่ควรจะได้ทำ แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าท่านเข้าใจนะว่าคนในวัยเดียวกับท่าน คนที่ไปเห็นบ้านเมืองอื่นที่เขามีวิถีการปกครองซึ่งท่านก็เห็นคุณเห็นประโยชน์ของสิ่งนั้นมาแล้ว ก็อยากจะเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นเรื่องที่ผสมผสานกัน หลายคนในคณะราษฎรก็ทรงรู้จัก ทรงมักคุ้น"
เช่นเดียวกับการบรรยากาศบ้านเมืองในช่วงแรก ๆ หลังปฏิวัติสยาม ซึ่ง ศ.พิเศษ ธงทองพบความพยายามสร้างความร่วมมือ สะท้อนผ่านการที่นายกฯ คนแรกคือพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
"ถามว่าทรงรู้จักไหม คุณหญิงมโนปกรณ์ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าคุณมโนฯ เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี แล้วก็ตามเสด็จไปในคราวประพาสอินโดจีนก่อนหน้านั้น 3-4 ปี มีอุบัติเหตุรถยนต์ รถคว่ำ คุณหญิงเสียชีวิต เสด็จพระราชดำเนินไปงานศพของคุณหญิง สร้างอนุสาวรีย์พระราชทานไว้ที่วัดปทุมวนาราม ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนเจรจาหารือกันอย่างไร แต่นี่คือนายกรัฐมนตรีคนแรก" ศ.พิเศษ ธงทองบรรยาย
อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธจะให้ความเห็นว่าส่วนตัวให้น้ำหนักกับข้อมูลประวัติศาสตร์ชุดใด ระหว่างฝ่ายที่เชื่อว่าการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยเป็นการประนีประนอมระหว่างคณะราษฎรกับคณะเจ้า กับฝ่ายที่เห็นคณะราษฎรเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนัก ต้องจัดการลบความทรงจำทิ้งไป
"ประวัติศาสตร์แยกเป็นชิ้นอย่างนั้นไม่ได้" เขาตอบทันควันเมื่อถามว่า ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไม่จำเป็นต้องแยกแยะว่าสิ่งไหนคือพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง และสิ่งไหนคือมรดกคณะราษฎรใช่หรือไม่
"เราไม่อยู่ในฐานะที่พูดได้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะคนใดคนหนึ่ง มันเป็นบริบททางประวัติศาสตร์ที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยการกระทำ ด้วยปฏิกิริยาของทุกคนที่เป็นตัวละครในเรื่องนั้น"
หนึ่งในหลักฐานในภายหลังคือ พระราชหัตถเลขาถึงนายเจมส์ แบ็กซ์เตอร์ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอังกฤษ และที่ปรึกษาด้านการเงินของสยาม ลงวันที่ 4 ส.ค. 2476 หรือ 7 เดือนก่อนสละราชสมบัติ โดยได้ทรงวิจารณ์คณะราษฎร เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ และยังตรัสถึงความภักดีของทหารในกองทัพบกและกองทัพเรือว่า "พวกเขาจะไม่ยอมรับที่กษัตริย์จะมาบังคับบัญชาการกองทัพโดยตรงและจะไม่เชื่อฟังคำสั่งใด ๆ ที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา"
ท้ายที่สุดในฐานะผู้ที่เห็นความสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ควรคิดอย่างไรและทำอย่างไรในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน นอกเหนือจากการแสดงความจงรักภักดี
นี่เป็นอีกคำถามที่ผู้เป็นข้าราชการมาทั้งชีวิตขอปิดปาก โดยกล่าวเพียงว่า "วันนี้พูดประวัติศาสตร์ทั้งนั้น ไม่อยากพูดถึงปัจจุบัน ปวดหัว"
องค์ต้นแบบแห่งการมีราชินีพระองค์เดียว
แนวคิดสมัยใหม่ ค่านิยม และอิทธิพลของ "คนขาว" ได้ก่อให้เกิด "ธรรมเนียมใหม่" ขึ้นในราชสำนักไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอัครมเหสีพระองค์เดียวตลอดรัชสมัยของพระองค์
"ท่านเป็นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระองค์แรกนะถ้าจะกล่าวว่าเป็นผู้นำในเรื่องนี้ก็ได้ คือการที่มีพระราชินีเพียงแค่พระองค์เดียว เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยพระองค์เอง แล้วก็ได้ทรงใช้ชีวิตคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ทั้งทุกข์และสุขนะครับตลอดพระชนม์ชีพจนกระทั่งเสด็จสวรรคต" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าว
นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ เม.ย. 2562 ตีพิมพ์บทความ "เมื่อองค์ประชาธิปกเสด็จประพาส 'โลกใหม่'" โดย ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล และ ภาพิศุทธิ์ สายจำปา ซึ่งอ้างหลักฐานที่ปรากฏในสื่อสหรัฐฯ ในระหว่าง ร. 7 เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2474
ข่าวบรรยายตอนหนึ่งว่า "บัดนี้ เป็นที่ทราบในหมู่ชาวเมืองแล้วว่า 'พระองค์ไม่ได้ทรงช้างเผือก หรือทรงมีพระสนมนางในเป็นร้อยแต่อย่างใด... ทรงมีพระราชหฤทัยจงรักในสมเด็จพระบรมราชินีพระโฉมงามแต่พระองค์เดียว..."
ศ.พิเศษ ธงทอง ชี้ว่า ในเวลานั้นสังคมไทยไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ขณะที่สิ่งแวดล้อมในยุคสมัยนั้น กระทั่งขุนนางและชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ใช่ของแปลกที่จะมีภรรยามากกว่า 1 คน
"อาจมาจากปัจจัยเบื้องต้นที่หลายคนบอกว่าก็ท่านเรียนหนังสือเมืองนอกมา ท่านเห็นแบบอย่างชีวิต แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เห็นมากับสิ่งที่ทรงปฏิบัตินั้น ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นการทำตามแบบนั้น ต้องเป็นความปรารถนาในพระราชหฤทัยและทรงมีความสุขในการกระทำเช่นว่านั้นด้วย" ศ.พิเศษ ธงทองระบุ
ในช่วงปลายรัชสมัยของ ร. 7 มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ประกาศให้มีการจดทะเบียนสมรสระหว่างชายหญิง และวางหลักการชีวิตคู่เพียงชาย 1 หญิง 1 นั้น
"การปฏิบัติพระองค์และพระจริยานุวัตรของในหลวง ร. 7 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เป็นแบบอย่าง เป็นมาตรฐานให้คนเห็นว่าชีวิตคู่ที่มีความสุขนั้นมีได้จริง" เขาบอก
ค่านิยมส่วนพระองค์ยังส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ "ความก้าวหน้าเรื่องสิทธิสตรี" และ "ความเห็นตัวตนผู้หญิงในสังคมไทย" อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่ง ศ.พิเศษ ธงทองไล่เลียงไว้ ดังนี้
- เด็กนักเรียนหญิงมีโอกาสเรียนหนังสือเสมอบ่าเสมอไหล่กับนักเรียนชายในทุกระดับ
- ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวง ร. 7 ปี 2468 เป็นครั้งแรกที่มีการสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีเป็นเนื้อเดียวส่วนหนึ่งของงานพระราชพิธี และ เสด็จไปไหนคู่กันทั้ง 2 พระองค์
- เมื่อมีรัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้ง หญิงไทยมีสิทธิในการเลือกตั้งเท่ากับชาย และไม่เคยมีข้อถกเถียงแบบในหลายประเทศว่าผู้หญิงควรมีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่
"อยู่บน" - Google News
May 30, 2020 at 10:57AM
https://ift.tt/2Xe3ILe
วันคล้ายวันสวรรคต ร. 7 : พระราชหัตถเลขาสละราชย์ ประชาธิปไตย และคณะราษฎร - บีบีซีไทย
"อยู่บน" - Google News
https://ift.tt/3bD0BBk
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/3c5Fzvo
Bagikan Berita Ini
0 Response to "วันคล้ายวันสวรรคต ร. 7 : พระราชหัตถเลขาสละราชย์ ประชาธิปไตย และคณะราษฎร - บีบีซีไทย"
Post a Comment