"ผมชอบที่จะโชว์ทักษะของผมในสนาม คุณสามารถทำให้นักเตะคู่แข่งดูโง่ได้"
แม้ว่าปัจจุบัน นักเตะจากแอฟริกา จะมีภาพจำในแง่ความดุดันและเต็มไปด้วยพละกำลัง แต่ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ก็มีผู้เล่นเชิงเทคนิคจากแอฟริกาจำนวนไม่น้อย ที่ก้าวขึ้นมาสร้างความตื่นตาให้โลกลูกหนัง
ออกุสติน เจย์ เจย์ โอโคชา อดีตเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติไนจีเรียคือหนึ่งในนั้น เขาเปี่ยมไปด้วยทักษะ และความสามารถเฉพาะตัว ที่เล่นงานคู่แข่งจนหัวหมุน สมราคานักเตะที่สวมหมายเลข 10
อย่างไรก็ดี เขากลับได้รับการยกย่องน้อยกว่าความเป็นจริง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
สร้างชื่อตั้งแต่วัยละอ่อน
เส้นทางสายลูกหนังของ โอโคชา ดูเหมือนจะเริ่มต้นตั้งแต่เขาลืมตาดูโลก เมื่อเขาเกิดมาในครอบครัวที่ชื่นชอบในกีฬาฟุตบอล กีฬายอดนิยมของของไนจีเรีย
"มันเป็นเหมือนศาสนาในประเทศของผม มันรวมให้คนทั้งประเทศเป็นหนึ่งเดียว ถ้าฟุตบอลไปได้ดี หลังจากนั้นทุกสิ่งก็จะดี มันเป็นมากกว่าเกมการแข่งขัน มากกว่ากีฬา มันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของเรา" โอโคชากล่าวกับ FIFA.com
ทำให้ตั้งแต่เด็กๆ เขาและพี่ชายมักจะหาเวลาออกไปเล่นฟุตบอลตามข้างถนนทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ด้วยความที่ครอบครัวของเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวย จึงต้องหาเศษวัสดุมาม้วนพันเป็นก้อนกลม ใช้แทนลูกฟุตบอลอยู่เสมอ
"เท่าที่ผมจำได้ ผมเคยเล่นลูกบอลมาทุกรูปแบบ ด้วยการเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวที่หาได้มาทำเป็นลูกบอล นั่นคือโบนัส ผมหมายความว่ามันมหัศจรรย์มาก" โอโคชาย้อนความหลังกับ BBC
ก่อนที่มันจะช่วยขัดเกลาให้เขากลายเป็นผู้เล่นจอมเทคนิค และเพียงอายุ 16 ปี ความสามารถของโอโคชาก็เริ่มเป็นที่รู้จัก หลังโชว์ทีเด็ดในสีเสื้อ อีนูกู เรนเจอร์ส ด้วยการลากเลื้อย ก่อนจะยิงประตูผ่านมือ วิลเลียมส์ ออคปารา อดีตผู้รักษาทีมชาติไนจีเรียของ บีบีซี ไลออนส์
แต่นั่นก็คือเวทีบทแรกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้มาค้าแข้งในยุโรปด้วยความบังเอิญ
มันเริ่มจากช่วงหน้าร้อนในปี 1990 เมื่อ โอโคชา อยากเห็นว่าฟุตบอลของแชมป์โลกเป็นอย่างไร จึงขอติดตาม เบเนบิ นูมา เพื่อนของพี่ชาย มาเที่ยวและชมเกมการแข่งขันฟุตบอลที่เยอรมัน
ในตอนระหว่างนั้น นูมา เล่นให้กับ โบรุสเซีย นอยน์เคียร์เชิน ทีมระดับ 3 ของลีกเยอรมัน อยู่แล้ว เขาจึงชวนโอโคชาไปซ้อมด้วยเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอ แต่ด้วยฝีเท้าที่โดดเด่น ทำให้เขาถูกโค้ชของทีมชวนมาทดสอบฝีเท้า ก่อนจะได้รับสัญญาอาชีพ
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของตำนาน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขาได้ย้ายไปเล่นให้ทีมในลีกสูงสุดอย่าง ไอน์ทรัค แฟรงต์เฟิร์ต ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งให้กับทีมดังมากมายในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เฟเนร์บาห์เช ของตุรกี, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในลีกฝรั่งเศส หรือ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ในแดนผู้ดี
แน่นอนว่าทุกที่ที่เขาไป ล้วนสร้างปรากฎการณ์ได้เสมอ
พ่อมดลูกหนัง
โอโคชาคือผู้เล่นที่เกิดมาเพื่อเป็นนักเตะหมายเลข 10 ตัวจริง เขาเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยความสามารถเฉพาะตัว และเทคนิคแพรวพราว โดยเฉพาะการเลี้ยงบอล ทำให้ทุกครั้งที่เขาได้ลงสนาม ผู้คนจะได้เห็นลีลาการเล่นที่ตื่นตาจากเขา
"ผมชอบที่จะโชว์ทักษะของผมในสนาม คุณสามารถทำให้นักเตะคู่แข่งดูโง่ได้" โอโคชาอธิบาย
แน่นอนว่าเบื้องหลังความสามารถของเขาล้วนมาจากชีวิตในวัยเด็ก เพราะการต้องเล่นในพื้นที่แคบๆ ริมถนน บวกกับการต้องใช้ทักษะในการควบคุมบอลประดิษฐ์ ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าจะกระดอนไปทางไหน ทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้
"วิธีที่ผมได้เรียนรู้ในการเล่นฟุตบอลคือออกไปเล่น และสนุกกับตัวเอง ผมไม่รู้ว่าวันหนึ่งผมจะได้เป็นผู้เล่นอาชีพ" โอโคชากล่าวกับ Independent
"ที่ยุโรปมันต่างออกไป พวกเขาเล่นให้กับสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แต่ที่แอฟริกา มันไม่มีโอกาสนั้น เราแค่เล่นเพื่อสนุกกับมัน"
"มันกลายเป็นที่ที่ผมได้เรียนรู้การพลิกแพลงและเทคนิคของผม การได้ทำแบบนั้นในสนามแย่ๆ ก็ช่วยผมเช่นกัน"
และมันก็กลายเป็นอาวุธที่ใช้เล่นงานคู่แข่งจนหัวปั่น นักเตะหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของเขา ไม่เว้นแม้แต่ โอลิเวอร์ คาห์น ยอดผู้รักษาประตูระดับตำนานของเยอรมัน
มันเกิดขึ้นในปี 1993 ปีที่สองในบุนเดสลีกาของดาวเตะชาวไนจีเรีย ในขณะที่ แฟรงค์เฟิร์ต นำ คาร์ลสรูห์ อยู่ 2-1 ในช่วงท้ายเกม โอโคชา ได้บอลในกรอบเขตโทษ ก่อนจะจัดการล็อกหลบ คาห์น ถึงสองครั้งซ้อน แล้วล็อกหลบกองหลังคู่แข่งกลับไปกลับมาจนตามไม่ทัน ก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นซัดผ่านมือคาห์นเข้าไป
"ผมยังมึนหัวอยู่เลย" คาห์น กล่าวแบบติดตลกผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวในเวลาต่อมา
ประตูดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ มันได้รับเลือกเป็นประตูยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกาแห่งฤดูกาลในปี 1993 เพราะประตูนี้ยังได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาอีกด้วย
นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของสถิติเลี้ยงบอลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก หลังเลี้ยงบอลไปถึง 52 ครั้งในเกมนัดประเดิมสนามที่พบกับอิตาลี ในศึกเวิลด์คัพ 1994 ที่สหรัฐอเมริกา
ในขณะเดียวกัน โอโคชา ยังเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ครบเครื่อง เพราะนอกจากจะสร้างสรรค์เกมจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้แล้ว เขายังยิงประตูได้อย่างเฉียบคม ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา และสถิติ 85 ประตูในชีวิตการค้าแข้งก็พิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะที่ยิงฟรีคิกได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะระยะ 25 หลาลงมา ที่มันกลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่เล่นงานคู่แข่งมากแล้วนักต่อนัก โดยเฉพาะตอนที่ค้าแข้งในตุรกี เมื่อ 36 ประตูที่เขาทำได้ในสีเสื้อของ เฟเนร์บาห์เช เกิดจากลูกฟรีคิกถึง 9 ลูก
แต่ที่เป็นที่จดจำที่สุดน่าจะเป็นฟรีคิกในเกมคาร์ลิงคัพรอบรองชนะเลิศ กับ แอสตัน วิลลา ในฤดูกาล 2003-2004 สมัยที่โอโคชาค้าแข้งอยู่กับ โบลตัน
ในเกมนั้น โอโคชา เบิกประตูให้ โบลตันไปแล้วตั้งแต่ต้นเกมจากลูกฟรีคิก ก่อนที่เขาจะมีโอกาสอีกครั้งในนาทีที่ 80 เมื่อมาได้ฟรีคิกเยื้องไปทางซ้ายของกรอบเขตโทษ และเขาก็ไม่พลาดโอกาสนั้น หลังจัดการตะบันไซด์ก้อยเสียบเสาเข้าไปอย๋างงดงาม
สิ่งเหล่านี้ทำให้โอโคชา ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในทุกสโมสรที่ค้าแข้ง เขากลายเป็นสีสันให้กับทุกทีมที่ไป
อย่างไรก็ดี เขากลับไม่ได้รับการยกย่องในระดับโลกเท่าที่ควร เพราะอะไร?
ราชันไร้มงกุฏ
แม้ว่าโอโคชา จะเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์โชกโชน หลังเริ่มต้นค้าแข้งในยุโรปตั้งแต่อายุยังน้อย และผ่านการเล่นให้กับทีมในหลากหลายประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับการยอมรับในระดับโลก การไม่ได้พิสูจน์ตัวเองกับทีมใหญ่ในท็อปลีกของยุโรป
เพราะหากไล่เรียงทีมในลีกใหญ่ที่โอโคชา เคยลงเล่น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทีมระดับกลางของลีกในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น แฟรงค์เฟิร์ต หรือ โบลตัน ที่ไปไกลที่สุดคือการลุ้นตำแหน่งพื้นที่สโมสรยุโรปเท่านั้น
จริงอยู่ที่เขาเคยเล่นให้กับทีมใหญ่ของประเทศอย่าง เปเอสเช หรือ เฟเนร์บาห์เช แต่สถานะของลีกฝรั่งเศสและตุรกี ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพียงแค่ลีกเกรดบีของยุโรป ทำให้แม้ว่าเขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี
"บางทีความรั้นของผมที่พยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง ที่ไม่ได้มีราคาอะไร ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เซ็นกับสโมสรใหญ่" โอโคชากล่าวกับ OmaSport
นอกจากนี้ การที่เขาไม่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ ก็ยังเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับการยกย่อง เขาแทบไม่มีผลงานที่จับต้องได้ตอนอยู่ แฟรงค์เฟิร์ต ส่วนตอนที่เล่นในตุรกี ก็คว้ามาได้เพียงแค่ถ้วยนายกรัฐมนตรี ที่เป็นเพียงถ้วยซูเปอร์คัพ
ในขณะที่ในสีเสื้อ โบลตัน ที่ว่ากันว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตอาชีพของ โอโคชา เขาทำได้ดีที่สุดแค่ตำแหน่งรองแชมป์ลีกคัพ เช่นเดียวกับในทีมชาติ แม้จะพาทีมเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย แต่ไปไกลที่สุดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
ทำให้เกียรติยศที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันที่สุด คือแชมป์ แอฟริกัน เนชั่นคัพ ในปี 1994 และเหรียญทองโอลิมปิก ในปี 1996 แต่ก็เป็นช่วงเวลา 6 ปีแรกในชีวิตนักเตะอาชีพ ซึ่งหมายความว่าในอีก 12 ปีหลังจากนั้น เขาแทบไม่ได้แตะความสำเร็จอะไรอีกเลย
"เปแอสเช ไม่ได้เป็นสโมสรเล็ก เฟเนร์บาห์เช ก็ไม่เล็กสำหรับตุรกี ไอน์ทรัค แฟรงต์เฟิร์ต ก็ไม่ใช่สโมสรเล็ก แต่มันอิงจากการที่ผมไม่ได้คว้าแชมป์อะไรกับสโมสรเหล่านี้" โอโคชากล่าวต่อ
"ผมสามารถพูดได้ว่า ผมอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาที่ผิด"
ทำให้ตลอดชีวิตการค้าแข้ง นอกจากตำแหน่งนักเตะเตะยอดเยี่ยมแห่งปีไนจีเรีย 7 สมัย และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของโบลตัน เขาแทบจะไม่ได้รับรางวัลในระดับทวีป หรือระดับโลกอย่างเป็นทางการแม้แต่รายการเดียว
ที่ใกล้เคียงที่สุดคือการคว้าอันดับ 2 นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปแอฟริกาในปี 1998 และนักเตะทวีปแอฟริกาแห่งปีของ BBC 2 สมัย 2003 และ 2004
อย่างไรก็ดี เขาไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา
มรดกแก่คนรุ่นหลัง
"ถ้ามองย้อนกลับไป ผมเห็นว่าผมมักจะสร้างชื่อในทุกทีที่ไป ผมเปิดประตูรับรุ่นต่อไปเสมอ และนั่นก็คือภารกิจของผม" โอโคชากล่าวกับ OmaSport
"คุณอาจจะเห็นความสำเร็จในวิธีที่ต่างออกไป แต่สำหรับผม ผมได้หลงเหลือมรดกในทุกที่ที่ผมค้นพบตัวเอง ซึ่งผมคิดว่ามันมีขนาดในระดับหนึ่ง ผมทำมันสำเร็จ"
จริงอยู่ที่ โอโคชา อาจจะไม่ได้คว้าแชมป์อะไรมากมาย เป็นชิ้นเป็นอัน เมื่อเทียบกับผลงานที่โดดเด่นในสนาม แต่อดีตกัปตันทีมชาติไนจีเรีย ก็มีความสุขที่ชีวิตของเขาดำเนินมาในรูปแบบนี้
เพราะทุกที่ที่เขาได้ผ่านไป เขาได้ทิ้งมรดกเอาไว้มากมายให้แก่คนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นครั้งหนึ่งที่เคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับ โรนัลดินโญ หรือช่วยยกระดับโบลตัน จากทีมหนีตกชั้น มาเป็นทีมลุ้นพื้นที่สโมสรยุโรป
"ผมไม่เสียใจในสิ่งที่ผมทำในพรีเมียร์ลีก ผมคงจะเสียใจสำหรับช่วงเวลาในอังกฤษหากผมไม่ทิ้งมรดกเอาไว้ บางคนอาจจะโชคดีพอที่อยู่ถูกที่ถูกเวลา แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นมากนัก แต่พวกเขาก็คว้าแชมป์" โอโคชากล่าวกับ Goal
"แต่สิ่งสำคัญที่สำหรับผมคือโอกาสที่ได้มา ผมคิดว่าผมเพิ่มโอกาสของผมได้มากที่สุดที่โบลตัน ด้วยการเปลี่ยนความคิดของผู้คนตอนที่ผมมาถึงจนกระทั่งผมจากไป"
"โบลตันเป็นหนึ่งในทีมที่น่าจะตกชั้นตอนที่ผมมาถึง แต่เราก็พาสโมสรไปอีกระดับหนึ่ง แม้ว่าผมจะไม่มีโอกาสได้เล่นยูโรปาลีกครั้งแรกของเรา"
"ดังนั้นเมื่อมองย้อนกลับไปในสิ่งที่ผมได้รับจากโบลตัน ผมคิดว่ามันทำให้ผมมีความสุข เพราะว่าเราไม่เคยถูกคาดหมายว่าจะไปคว้าแชมป์"
ในขณะเดียวกันเขายังไม่เคยเสียใจกับเส้นทางที่เขาเลือก กลับกันมันยังทำให้เขาภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไป ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่เขายึดถือมาตลอดจนวันสุดท้ายที่แขวนสตั๊ด
"ผมไม่เคยเสียใจ ผมคิดว่าผมได้ทำเต็มที่แล้วเพื่อชนะรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีแอฟริกา แต่ผมต้องเชิดหน้าและตระหนักว่าในชีวิตคนเรา คุณจะไม่ได้ในสิ่งที่ควรได้หรือคาดหวัง" โอโคชากล่าวกับ OmaSport
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางคนความสำเร็จอาจจะตัดสินกันด้วยจำนวนแชมป์ที่คว้ามาได้ หรือการยิงประตูได้มากมาย แต่ไม่ใช่สำหรับ โอโคชา เพราะสำหรับเขา แค่การได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว ที่ทำให้เขาได้รับการจดจำในฐานะหนึ่งในนักเตะหมายเลย 10 ที่ดีที่สุดที่แอฟริกาเคยมีมา
"พูดตามตรง ผมไม่เสียใจ เมื่อนึกถึงการเริ่มต้นอย่างยากจนของผม ผมไม่คิดว่าผมจะได้เล่นให้ทีมชาติ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะมีชีวิตนักฟุตบอล 18 ปีในยุโรป จากศักยภาพที่ผมมีในฐานะนักฟุตบอล"
"เมื่อมองย้อนกลับไป ผมอาจจะคิดว่าควรทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่พูดตามตรง ผมไม่เคยเสียใจ"
"มันใช้งานได้" - Google News
May 23, 2020 at 08:47AM
https://ift.tt/36vKALW
"เจย์ เจย์ โอโคชา" : นักฟุตบอลแอฟริกาที่ได้รับการยกย่องน้อยกว่าความเป็นจริง - Sanook
"มันใช้งานได้" - Google News
https://ift.tt/357dMYK
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/3c5Fzvo
Bagikan Berita Ini
0 Response to ""เจย์ เจย์ โอโคชา" : นักฟุตบอลแอฟริกาที่ได้รับการยกย่องน้อยกว่าความเป็นจริง - Sanook"
Post a Comment