Wi-Fi กำลังขยับไปใช้คลื่นความถี่ 6 GHz ในชื่อเรียกว่า Wi-Fi 6E ซึ่งกำลังเป็นที่ถูกจับตามองและถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้ว่า นี่คือมาตราฐานยุคใหม่แห่งการเชื่อมต่อไร้สาย แล้วมันคืออะไร มีดียังไง จะพามาให้รู้จักกันแบบเข้าใจได้ง่าย ๆ ในบทความนี้
กลุ่ม Wi-Fi Alliance ได้เปิดตัว Wi-Fi 6 และเริ่มตีตลาดไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว โดย Wi-Fi 6 หรือในชื่อเดิมแบบเต็ม ๆ ว่า 802.11ax นั้นมีจุดเด่น คือ อัตราการรับส่งข้อมูลสูงขึ้น แบนด์วิดท์กว้างขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เป็นจำนวนมาก จากนั้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Wi-Fi Alliance ก็ได้เปิดตัว Wi-Fi 6E ตามมา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดมาจาก Wi-Fi 6 นั่นเอง
Wi-Fi 6E คืออะไร
อันที่จริงแล้ว Wi-Fi 6E มันก็เหมือน Wi-Fi 6 แทบทั้งหมด ยังคงอยู่บนมาตราฐาน IEEE 802.11ax แต่จะมีการนำคลื่นความถี่ในย่าน 6 GHz มาใช้เพิ่มเติม ในขณะที่จากเดิมมีใช้กันอยู่แค่ 2.4 GHz และ 5 GHz ซึ่งเริ่มที่จะไม่เพียงพอแล้วในปัจจุบัน เพราะอย่าลืมว่า ทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแล็บท็อปอีกแล้ว ที่สามารถต่อ Wi-Fi ได้ อุปกรณ์จำพวก IoT ต่าง ๆ ทั้งหลายก็ต่อ Wi-Fi ได้เช่นกัน นอกจากนี้ทั้งจำนวนผู้ใช้งานรวมถึงปริมาณการใช้งานก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
โดยจากรายงานของ Cisco ระบุว่า ในปี 2018 มียอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกราว 3.9 พันล้านคน คิดเป็น 51% ของประชากรโลก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นถึง 5.3 พันล้านคนในปี 2023 ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับ 66% หรือสองในสามของประชากรโลกเลยทีเดียว Wi-Fi จึงต้องขยับไปใช้คลื่นความถี่ 6 GHz ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและรองรับการเชื่อมต่อได้มากกว่าเดิม เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการได้เพียงพอ
นอกจากนี้ การขยับไปใช้คลื่นความถี่ 6 GHz ของ Wi-Fi ในครั้งนี้ หลายฝ่ายให้ความเห็นตรงกันว่า นี่คือการพัฒนาครั้งใหญ่ของ Wi-Fi ในรอบ 20 ปี ที่จะมาสร้างมาตราฐานใหม่ของการเชื่อมต่อได้เลยทีเดียว
วัตถุประสงค์และจุดเด่นของ Wi-Fi 6E
วัตถุประสงค์หลัก ๆ ของ Wi-Fi 6E ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำในสิ่งที่ Wi-Fi 6 ยังทำไม่ได้ หรือทำได้แต่ไม่ดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการเชื่อมต่อเป็นจำนวนมาก เช่น ในสถานที่อย่างห้างสรรพสินค้า สถานีขนส่ง สนามกีฬา หรือโรงงาน รวมไปจนถึงการสตรีมวิดีโอระดับ 4K หรือสูงกว่า และการใช้งานด้าน AR/VR เป็นต้น
การที่มันขยับไปใช้คลื่นความถี่ย่าน 6 GHz ทำให้ได้แบนด์วิดท์เพิ่มขึ้นมาถึง 1200 MHz ซึ่งมากกว่าสองเท่าของการนำเอาแบนด์วิดท์ของ 2.4 GHz และ 5 GHz มารวมกันเสียอีก และด้วยความกว้างขนาด 1200 MHz นี้ ทำให้มันสามารถรองรับช่องสัญญาณขนาด 160 MHz ได้ถึง 7 ช่อง หรือขนาด 80 MHz ได้ถึง 14 ช่องเลยทีเดียว ทำให้มี Latency ในขณะเชื่อมต่อที่ต่ำมาก ๆ (ความหน่วง ดีเลย์ หรือปิง ตามแต่จะเรียก) แม้ว่าจะเชื่อมต่อกับหลายอุปกรณ์ในคราวเดียวก็ตาม
อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหา “สัญญาณตีกัน” บน 2.4 GHz และ 5 GHz ที่มีปริมาณผู้ใช้งานสูงได้อีกด้วย หากจะกล่าวให้เป็นรูปธรรมอีกสักหน่อย ลองนึกภาพว่า บนถนนมันมีรถเยอะแล้ว รถติด ก็เลยเปิดถนนเส้นใหม่เพิ่ม แล้วขับโล่ง ๆ เต็มสปีดไปเลย แถมถนนที่สร้างใหม่ยังเปิดได้หลายเลน (ช่องสัญญาณ) และกว้างกว่าเก่าด้วย เพราะมีพื้นที่ (แบนด์วิดท์) เพียงพอ
ความสามารถของ Wi-Fi 6 ก็ยังคงอยู่ครบทั้งหมด
- Orthogonal Frequency Division Multiple Access (OFDMA): ซอยช่องสัญญาณเป็นช่องย่อย ๆ เพื่อลด Latency และเพิ่มประสิทธิภาพในการรับ-ส่งข้อมูลในสภาพแวดล้อมที่มีการเชื่อมต่อหนาแน่น
- Multi-user MIMO (MU-MIMO): ที่ถูกพัฒนามาจาก Wi-Fi 5 ให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้พร้อมกันหลายอุปกรณ์ในคราวเดียวได้แล้ว
- Target wake time (TWT): ช่วยประหยัดพลังงานหรือแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ปลายทาง เปรียบได้กับมี Sleep mode นั่นเอง แถมยังรองรับอุปกรณ์ IoT ด้วย
- 1024 quadrature amplitude modulation mode (1024-QAM): เพิ่มความสามารถในการเข้ารหัสข้อมูล จากเดิม 256-QAM ใน Wi-Fi 5 ทำให้มีอัตราการรับ-ส่งข้อมูลสูงขึ้นถึง 40%
มันเร็วกว่าเดิมแค่ไหน
ประเด็นนี้ไม่เป็นที่ถูกพูดถึงกันสักเท่าไหร่ อาจเพราะความเร็วในการใช้งานจริงที่ระดับ 1 Gbps บน Wi-Fi 6 ในปัจจุบันก็สูงเพียงพอต่อผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไปแล้ว แต่ทั้งนี้ก็มีการคาดการณ์กันว่า Wi-Fi 6E นั้นจะเร็วขึ้นกว่าเดิมประมาณ 2-2.5 เท่า สามารถทำความเร็วสูงสุดในระดับ 2 Gbps บนอุปกรณ์จำพวกสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้
จะใช้ Wi-Fi 6E ต้องเปลี่ยนเราเตอร์มั้ย แล้วจะได้ใช้เมื่อไหร่
เราเตอร์ในปัจจุบันส่งสัญญาณได้แค่คลื่นความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz ดังนั้น หากคุณต้องการใช้งาน 6 GHz ของ Wi-Fi 6E คำตอบก็คือ “ใช่” คุณต้องเปลี่ยนเราเตอร์ที่มีชิปเซตตัวใหม่ที่รองรับ นอกจากนี้อุปกรณ์ปลายทางอันได้แก่ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แล็บท็อป หรืออื่น ๆ ก็ต้องเป็นรุ่นใหม่ที่รองรับด้วยเช่นกัน (ตอนนี้ยังไม่มี)
Xi AIoT AX3600 เราเตอร์ Wi-Fi 6 ของ Xiaomi ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ไม่รองรับ Wi-Fi 6E เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอุปกรณ์ในปัจจุบันไปครับ เพราะมันจะยังคงใช้งานได้ตามปรกติต่อไป เพียงแค่จะไม่รองรับในส่วนของ 6 GHz เท่านั้น และก็คงอีกนานกว่าที่จะใช้กันอย่างแพร่หลาย (ขนาดทุกวันนี้ Wi-Fi 6 ที่ออกมาเป็นปีแล้วยังไม่ค่อยมีคนได้ใช้เลย)
โดยมีการคาดการณ์กันจากทาง Wi-Fi Alliance, Broadcom, บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ IT ไปจนถึงบรรดานักวิเคราะห์ ว่า อุปกรณ์ชุดแรกจะเข้าสู่ตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 นี้ หรือไม่ก็ในต้นปีหน้า และอุปกรณ์จำพวกแรกที่จะได้ใช้งาน Wi-Fi 6E ก็คาดว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน (ซึ่งก็เดาได้ไม่ยาก) ในส่วนของประเทศไทยนั้นก็ให้บวกเวลาเพิ่มไปกว่านั้นไปอีกสักหน่อยครับ
จากทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าจับตามองมากทีเดียว สมกับที่บรรดาสื่อและบริษัทด้านเทคโนโลยีต่างประเทศต่างกำลังให้ความสนใจ ซึ่งภายใน 1-2 ปีนี้ เราคงจะได้เห็นกันว่า มันจะสร้างแรงกระเพื่อมให้แก่โลกขนาดไหน สมกับที่หลายคนคาดหวังหรือไม่ กับการมาของ Wi-Fi 6E ที่กำลังจะกลายเป็นมาตราฐานใหม่ของการเชื่อมต่อไร้สายนี้ควบคู่ไปกับ 5G
อ้างอิง : Wi-Fi Alliance, Broadcom, Cisco, Wikipedia (1, 2)
"มันใช้งานได้" - Google News
June 28, 2020 at 10:54PM
https://ift.tt/3dHhOtq
รู้จักกับ Wi-Fi 6E สู่ยุคใหม่แห่งการเชื่อมต่อไร้สายบน 6 GHz - Droidsans
"มันใช้งานได้" - Google News
https://ift.tt/357dMYK
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/3c5Fzvo
Bagikan Berita Ini
0 Response to "รู้จักกับ Wi-Fi 6E สู่ยุคใหม่แห่งการเชื่อมต่อไร้สายบน 6 GHz - Droidsans"
Post a Comment