เมื่อวันที่ 13 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย(ทรท.) เรื่องคณะรัฐมนตรีใหม่ และการเดินหน้าประเทศ ว่า เมื่อวานนี้รัฐมนตรีใหม่ได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย รัฐมนตรีใหม่ เข้ามาทำหน้าที่ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในประเทศไทย ที่ผ่านมา พวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้กับโควิด จนสำเร็จได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังต้องสู้กันต่อไปอีก แต่ตอนนี้การจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ จะไม่หายไปได้ในเร็ววัน ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก ต่างคาดการณ์ว่า ทุกคนคงจะต้องทนทุกข์กับวิกฤตนี้ ไปจนถึงปลายปีหน้า
"สิ่งที่เราทำได้ คือการให้คนที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาทำงาน และทำทุกอย่างที่จะช่วยเหลือประชาชนให้อยู่รอดได้ ในช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ นี่คือสิ่งที่ผมรับปากกับทุกคนในประเทศ ในแถลงการณ์ครั้งก่อนที่ผมพูดว่า เราต้องให้คนที่เก่งที่สุด จากทุกภาคส่วน และจากทุกระดับของสังคม ได้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถ ทำงานร่วมกัน เพื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิดนี้ไปให้ได้ และมากกว่าแค่ผ่านพ้นวิกฤตโควิด คือ ตอนนี้เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อวางแผน และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น ด้วยวิธีการทำงานแบบ new normal ที่ผมเรียกว่า รวมไทยสร้างชาติ ส่วนหนึ่งของรวมไทยสร้างชาติ คือการเปิดโอกาสให้คนเก่งๆ ในประเทศของเรา ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนได้ทำงานร่วมกัน ได้ใช้ความรู้ความสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศ ผมจึงได้ตัดสินใจเชิญผู้มีความสามารถ ซึ่งเป็นคนนอก ที่ไม่ได้มาจากภาคการเมือง เข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ในโลกประชาธิปไตย เราต้องทำงานด้วยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ซึ่งการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีจากพรรคร่วม มาช่วยกันทำงานรับใช้ประเทศ ตนดีใจที่ทุกคนเห็นตรงกันว่า เราต้องเปิดกว้างในสถานการณ์นี้ เพราะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ไม่แพ้เรื่องสาธารณสุข ตนจึงตัดสินใจ เลือกแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด โดยไม่ได้มองว่าอยู่ในการเมืองหรือไม่ ให้เข้ามาบริหารงานด้านเศรษฐกิจ แต่เป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพในเรื่องเป็นผู้มีจริยธรรม และมีประวัติการทำงานที่โดดเด่น ในฐานะมืออาชีพมาอย่างยาวนาน
นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางที่ตนมอบให้ท่านรัฐมนตรีมี 5 อย่าง ที่ต้องทำ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนคนไทย ได้แก่ งานที่ 1: เราต้องเยียวยาโดยเฉพาะกลุ่ม SME และประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ที่ต้องตกงานในช่วงที่ผ่านมา งานที่ 2: เราต้องแก้ปัญหาต่างๆ ในแนวทางที่จะช่วยประเทศ อย่างยั่งยืน ซึ่งรู้ดีว่าให้เงินเยียวยาไปตลอดคงไม่ได้ ดังนั้นเราต้องเริ่มทำโครงการที่จริงจังตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ และเราจะต้องใช้เงินที่มีอยู่อย่างเหมาะสม และให้ความช่วยเหลือไปถึงคนที่ต้องการจริงๆ โดยใช้กลไก โครงสร้าง คณะกรรมการ และศูนย์บริหารสถานการณ์ที่มีการทำงานบูรณาการกัน ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า งานที่ 3: เราต้องสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจต่างๆ ยังคงการจ้างงานลูกจ้างของเค้าต่อไป และให้ธุรกิจต่างๆ ใช้ช่วงเวลานี้ พลิกองค์กรของตัวเองให้กลายเป็นองค์กรที่มีประสิทธภาพและสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น งานที่ 4: เราต้องมีแผนเรื่องการจ้างงานคนรุ่นใหม่ นักศึกษาจบใหม่จำนวนมากกำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน พวกเค้าจำเป็นต้องมีงานทำ และงานที่ 5: คือ งานที่เกี่ยวกับการทำงานต่างๆ เหล่านี้ จะต้องทำด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส่ และรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกคนในสังคมมีบทบาทหน้าที่ ที่จะช่วยกันนำพาประเทศ ก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปให้ได้
"การแต่งตั้งบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด โดยไม่ได้มองว่าอยู่ในการเมืองหรือไม่ เป็นส่วนหนึ่งของรวมไทยสร้างชาติ และตอนนี้ ในช่วงเดือนนี้ และเดือนหน้า จะเริ่มทำ workshops กับภาคส่วนต่างๆ ซึ่งจะเข้ามานำเสนอวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนภาคส่วนของเค้า นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับโอกาสที่เค้ามองเห็น และมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนภาคส่วนนั้นๆ ให้เดินหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น โดยจะเข้าร่วมรับฟังการนำเสนอของทุกภาคส่วนด้วยตัวเอง สิ่งที่ผมต้องการสำหรับประเทศไทย คือ เมื่อถึงเวลาที่วิกฤตโควิดเริ่มหายไป ประเทศไทยของเราจะไปอยู่ในจุดที่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสการจ้างงานมหาศาล และทำให้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่ดีขึ้นกว่าก่อนที่โควิดจะเกิดขึ้น"นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง ซึ่งกีดขวางการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยในการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่แค่ในอดีต เราต้องหยุดพูดคำว่า “พวกเค้า” หรือ “พวกเรา”คนที่พูดว่า “ฉันไม่ฟังเค้า เพราะเค้ามีความเชื่อต่างกับฉัน” หรือ “ฉันจะไม่ไปเจอเค้า เพราะเค้ามีความเชื่ออีกทางหนึ่ง” เป็นคนที่ยังติดอยู่ในโลกการเมืองของเมื่อวาน เป็นยุคที่ผ่านไปแล้ว แนวคิดแบบ พวกเค้า-พวกเรา ไม่ควรจะมีที่ยืนอีกต่อไป ในโลกปัจจุบัน ควรจะมีแต่คำว่า“คนไทยด้วยกัน” ทั้งนี้แม้ว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราต้องร่วมกันให้คำนิยามการเมืองแบบใหม่ และทำลายการเมืองแบบเดิมที่แบ่งแยก นี่คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของตน และเชื่อว่า ลึกๆ แล้วก็อยู่ในความคิดของคนไทยทุกคน ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงมุมมองและสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา เพื่อช่วยประเทศ
นายกฯ กล่าวด้วยว่า เมื่อตอนที่ตนไปพบสื่อเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา นั่นคือสิ่งที่ได้เห็นว่า สื่อก็ทำ จึงขอชื่นชมสื่อทุกคนด้วยความเคารพ ที่นำเสนอความคิดและคำแนะนำเพื่ออนาคตของประเทศ โดยไม่สนใจว่าใครจะมีฟากฝั่งทางการเมืองแบบไหน และไม่ใช่เพราะอยากช่วยตน หรืออยากช่วยรัฐบาล แต่ทุกสื่อได้ให้คำแนะนำกับเพื่อต้องการช่วยประเทศ
"นี่คือจิตวิญญาณที่ทำให้ประเทศของเรายิ่งใหญ่ และทำให้เราอยู่บนเส้นทางที่จะก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นได้ ไม่ใช่จิตวิญญาณแบบที่จะนำไปสู่การลุกขึ้นมาตะโกนด่าทอ หรือต่อสู้กัน เส้นทางของคนที่พูดว่า ฉันไม่ฟังเค้า เพราะเค้าไม่เห็นด้วยกับฉัน เป็นเส้นทางที่จะพาประเทศไปสู่ความมืดมน จิตวิญญานของความเป็นไทยจะพูดว่า แม้เราจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่เราให้โอกาส เราต้องฟัง และประนีประนอมกัน และเราต้องลงมือทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ ตอนนี้ เราต้องมุ่งความสนใจของเราไปที่ความอยู่รอดของปากท้องของคนหลายสิบล้านคน เราต้องทำงานร่วมกัน ช่วยกันดันเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นกลับมาให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วหลังจากนั้นเราค่อยจัดการแก้ไขปัญหาในประเด็นอื่นๆ ด้วยกัน ต่อไป"นายกฯกล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า เรากำลังทำตามที่พูดว่า รวมไทยสร้างชาติ วันนี้ตนจึงได้ให้คำแนะนำกับรมว.คลังคนใหม่ ให้เชิญมันสมองชั้นยอดของประเทศเข้ามาพบกัน เพื่อพูดคุยมุมมองความคิดของแต่ละท่าน ในการบริหารจัดการสถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่ โดยท่านต่างๆ ที่จะเชิญเข้ามานั้น ควรจะมีคนที่เคยอยู่ในรัฐบาลอื่น หรือเป็นคนที่อาจจะมีแนวทางทางการเมืองที่แตกต่างกัน
ซึ่งวันนี้ขอพูดต่อหน้าประชาชนคนไทยทุกคนว่า กรุณา “ปฏิเสธ” ความเกลียดชัง และการแบ่งแยกทางการเมือง ขอให้ปฏิเสธการเมืองแบบเก่า ที่แพร่กระจายเชื้อโรคของความแตกแยก ระหว่าง ความเชื่อที่แตกต่าง คนรุ่นใหม่-คนรุ่นเก่า คนรวย-คนจน หรือความแตกต่างอะไรก็ตามที่ถูกใส่เข้ามาในสังคมของเรา อนาคตเป็นของคนรุ่นใหม่ และอนาคตก็อยู่ในมือคนรุ่นใหม่ ให้คนรุ่นใหม่แสดงออกมาให้ทุกคนเห็นว่า เค้ามีพลังที่จะเดินหน้าประเทศ ไปในเส้นทางที่จะร่วมแรงร่วมใจกันทุกคนทุกฝ่าย ก้าวข้ามความคิดเห็นที่อาจจะแตกต่างกันบ้าง เพื่อช่วยแก้ปัญหาปากท้องในปัจจุบัน และก้าวไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น
ดังนั้นเราต้องอยู่เหนือการเมือง เพราะเรามีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากรออยู่ตรงหน้า นั่นคือความอยู่รอดในการหาเลี้ยงชีวิตของคนนับล้านๆ ที่กำลังเดือดร้อนจากหายนะของโควิด วันนี้ขอให้จับมือกัน และทำงานด้วยกัน เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศของเรา เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เพื่อลูกหลานของเรา นั่นคือภารกิจที่สำคัญที่สุดของเราในตอนนี้.
"อยู่บน" - Google News
August 13, 2020 at 06:30PM
https://ift.tt/3iH95ub
'บิ๊กตู่'ชี้อนาคตอยู่ในมือคนรุ่นใหม่ หยุดแพร่เชื้อโรคความแตกแยก - เดลีนีวส์
"อยู่บน" - Google News
https://ift.tt/3bD0BBk
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/3c5Fzvo
Bagikan Berita Ini
0 Response to "'บิ๊กตู่'ชี้อนาคตอยู่ในมือคนรุ่นใหม่ หยุดแพร่เชื้อโรคความแตกแยก - เดลีนีวส์"
Post a Comment